คำถามที่พบบ่อย
Q1 : เบต้ากลูแคน คืออะไร?
A1 : เบต้ากลูแคน เป็น สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (จำพวกแป้งและน้ำตาล) ซึ่งมีคุณสมบัติที่มหัศจรรย์ คือ สามารถกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง และ ทำให้เกิดการตายของเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยลง จึงเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย พอเม็ดเลือดขาวแข็งแรง การทำงานของเม็ดเลือดขาวก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ ทำงานอย่างถูกต้อง รับรู้ถึงเซลล์ที่ผิดปกติ และไม่ผิดปกติ ดังนั้น ทำให้ร่างกายเราแข็งแรง และภูมิต้านทานต่อโรคติดเชื้อจากจุลชีพต่างๆ (ไวรัส แบคที่เรีย และ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ) ก็จะดีขึ้นตามลำดับ
เบต้ากลูแคนจึงเหมือนการสร้างพลังต้านทานโรคในร่างกายให้มากขึ้น และฟื้นฟูภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่สำคัญคือลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด และด้วยตัวมันเองที่มีลักษณะเป็นเส้นใย จึงสามารถช่วยในเรื่องของระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่ ช่วยชะลอความเสื่อม ของเซลล์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Q2 : เบต้ากลูแคนพบได้จากที่ใด?
A2 : เบต้ากลูแคนสามารถสกัดได้มาจากแหล่งต่าง ๆ หลายแหล่งในธรรมชาติ เช่น เห็ด (เห็ดหลินจือ เห็ดชิตาเกะ และเห็ดไมตาเกะ) ข้าวบาร์เลย์ ยีสต์ ข้าวโอ๊ต สาหร่ายทะเล และ โสม เป็นต้น แต่แหล่งสำคัญที่นิยมได้แก่ เห็ด ข้าวบาร์เลย์ ยีสต์ ข้าวโอ๊ต สาหร่ายทะเล และโสม เป็นต้น ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน จากผลการศึกษาวิจัยจาก มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ชั้นนำของโลกหลายแห่งได้ค้นพบว่า เบต้ากลูแคนที่สกัดจากยีสต์ขนมปังจะมีประสิทธิภาพต่อร่างกายมนุษย์สูงที่สุด ผลิตภัณฑ์ IMMUNE LAB® เบต้ากลูแคนจึงเลือกใช้เบต้ากลูแคนบริสุทธิ์ที่สกัดจากยีสต์ขนมปังมาใช้ในผลิตภัณฑ์
Q3 : เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังและเบต้ากลูแคนที่พบในเห็ด ต่างกันหรือไม่ อย่างไร?
A3 : เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) และเบต้ากลูแคนที่พบในเห็ดเป็นโครงสร้าง 1,3/1,6 กลูแคนเหมือนกัน กล่าวคือ เป็นเบต้ากลูแคน 1,3/1,6 d glucan เหมือนกัน ส่วนความแตกต่าง คือ สายพันธุ์เห็ดจะเป็นสายพันธุ์สั้น จึงมีประสิทธิภาพต่ำกว่าสายพันธุ์ยีสต์ที่เป็นสายพันธุ์ที่ยาวกว่า ดังนั้นผู้บริโภครับประทานเห็ดแล้วจะได้รับสารเบต้ากลูแคน แต่จะได้รับในปริมาณ ที่น้อยกว่าการรับประทานเบต้ากลูแคนจากยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ถ้าจะให้ได้ปริมาณที่เท่ากัน ต้องทานในปริมาณที่เยอะ และในบางรายอาจเกิดอาการแพ้สารบางชนิดในเห็ด ที่รับประทานเข้าไป ดังนั้นผู้ที่รับประทานเบต้ากลูแคนที่สกัดจากยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae) ร่างกายจะได้รับเฉพาะสารเบต้ากลูแคนบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% และปราศจากผลข้างเคียงต่อร่างกาย
Q4 : เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังและยีสต์ทำสุรา ต่างกันหรือไม่ อย่างไร
A4 : โครงสร้างเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae/ Baker yeast) และ ยีสต์สุรา (brewer yeast) นั้นเป็นชนิดเดียวกัน คือ โครงสร้าง 1,3/1,6 กลูแคนเหมือนกัน แต่ส่วนที่แตกต่างกันคือ การสกัดเบต้ากลูแคนจากยีสต์สุรานั้นมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับที่ได้จากยีสต์ขนมปัง และประสิทธิภาพในการปรับสมดุลภูมิต้านทานของร่างกายนั้นต่ำกว่าเบต้ากลูแคนที่สกัดจากยีสต์ขนมปัง ที่สำคัญไม่ค่อยมีงานวิจัยที่ใช้ยีสต์สุรา
Q5 : เบต้ากลูแคนทำงานอย่างไร?
A5 : เบต้ากลูแคนทำหน้าที่กระตุ้นเม็ดเลือดขาว (Macrophage) ที่รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ จำนวนมากในการป้องกันและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาฌจมตร่างกาย เซลล์ Macrophage เป็นเซลล์สำคัญชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำหน้าที่ดูดกลืนสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายและทำลายไป Macrophage ผลิตสารเคมีที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เคลื่อนที่มายังจุดที่ติดเชื้อที่มีผลกระทบ เช่น เป็นไข้ เป็นต้น นอกจากนี้ Macrophage ยังทำหน้าที่ผลิตสารที่ช่วยในการเจริญเติบโตให้กับเซลล์ที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายด้วย
การทานเบต้ากลูแคนต่างกับสารอาหารอื่น กลูแคนประเภทนี้ทนทานต่อกรด ดังนั้นจึงไม่เปลี่ยนสภาพเมื่อผ่านกระเพาะอาหาร Macrophage ซึ่งอยู่ในเมือกเคลือบผนังลำไส้สามารถจับอนุภาคเบต้ากลูแคนโดย beta glucan receptor หรือ จะเรียกอย่างง่ายๆว่าเป็น ปากของ Macrophage (ซึ่งมีขนาดประมาณ 2 ไมครอน) ที่จะใช้กลืนอาหารและเชื้อโรค และ เมื่อ Macrophage ได้รับสารเบต้ากลูแคนนั้นจะเกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เหล่านั้น หลังจากนั้นจะสามารถกลับไปยังต่อมน้ำเหลือง โดยหน้าที่ส่วนหนึ่งของ Macrophage คือ ทำหน้าที่ในการทำเครื่องหมายให้ T cell สามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาได้ เพื่อปลดปล่อย cytokine และก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ
Q6 : ใครบ้างที่ควรบริโภคเบต้ากลูแคน IMMUNE LAB® ?
A6 : ผลิตภัณฑ์เบต้ากลูแคนจากยีสต์ของ IMMUNE LAB® เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ “ไม่ใช่ยารักษาโรค” ใครก็ตามที่ต้องการรักษาสภาพหรือเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง, มีความเครียดเป็นประจำ, ประสงค์ที่จะชลอความชราภาพ, มีโรคภูมิแพ้, แพ้ภูมิตัวเอง, โรคติดเชื้อ, แผลหายช้าและหายไม่สมบูรณ์ รวมทั้งผู้ได้รับเชื้อ HIV/AIDS หรือมะเร็งควรได้รับเบต้ากลูแคนทุกวันเพราะในแต่ละวัน ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆเมืออยู่ในภาวะขาลง จะเป็นช่วงที่ง่ายต่อการเจ็บป่วย คนป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุต่าง ๆ รวมทั้งอาการล้าอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue), fibromyalgia หรือ เชื้อไวรัสที่มีการติดเชื้อระยะยาวหรือถาวร (persistent viruses) เบต้ากลูแคนสามารถยกระดับความต้านทานได้ คนที่ได้รับความทุกข์ ทรมานจากโรคเสื่อมเรื้อรัง (chronic degenerative disorders) เช่น โรคเบาหวาน หรือการอักเสบเรื้อรัง อาจได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นภูมิคุ้มกันชองเบต้ากลูแคน, ผู้ที่ได้รับสารพิษทางสิ่งแวดล้อม, รังสี UV และพิษต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถได้ประโยชน์จากฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และคุณสมบัติความเป็นเส้นใยที่ช่วยในเรื่องของระบบทางเดินอาหาร
Q7 : มีการศึกษาเกี่ยวกับเบต้ากลูแคนมานานเท่าใด และ มีงานวิจัยรองรับเบต้ากลูแคนหรือไม่?
A7 : มีการศึกษาเบต้ากลูแคน มานานกว่า 50 ปี และมีผลการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากจาก มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ชั้นนำของโลกหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาด มหาวิทยาลัยทูเลน มหาวิทยาลัยดิ๊ก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยหลุยส์วิล มหาวิทยาลัยวอชิงตันฯลฯ พร้อมทั้งยังมีเอกสารทางวิชาการมากกว่า 1,000 รายงาน ยืนยันผลของการใช้เบต้ากลูแคนในการกระตุ้นและป้องกันภูมิคุ้มกัน (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.theimmnelab.com)
Q8 : ควรบริโภคเบต้ากลูแคนในปริมาณเท่าไรและเวลาไหนที่เหมาะกับการบริโภคเบต้ากลูแคน?
A8 : จากการศึกษาในมนุษย์ มีข้อเสนอแนะว่า ปริมาณเบต้ากลูแคนที่ควรรับประทานประมาณนั้นคือ 2 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนัก 1 กิโลกรัม/วัน นั่นหมายถึง ถ้าคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรทานเบต้ากลูแคน อย่างน้อย 100 มิลลิกรัมใน 1 วัน
ตามปกติเราสามารถรับประทานได้ทุกช่วงเวลา แต่เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานของเบต้ากลูแคน ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรรับประทานในเวลาท้องว่างจึงจะได้ผลดีที่สุด อาจเป็นเวลาเช้าหรือก่อนนอน สาเหตุเนื่องมาจาก เวลาเช้าหลังจาก ตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารและระบบลำไส้ไม่ต้องทำงานหนักในการย่อยอาหาร เบต้ากลูแคนถูกดูดซึมที่บริเวณเยื่อบุลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานโรคได้ดีก่อนเวลาเข้านอน ขณะที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อน ระบบเซลล์ต่างๆรวมถึงภูมิต้านทานในร่างกายจะทำงานอย่างเต็มที่ เบต้ากลูแคน จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภูมิต้านทานในการต่อสู้เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและซ่อมแซม ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้แข็งแรงอีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่มาจากการทำงานหนักมากเกินไปของเซลล์ร่างกาย)
Q9 : ต้องบริโภคเบต้ากลูแคนนานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?
A9 : ระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์แต่ละคนอาจเหมือนกัน แต่ด้วยเงื่อนไขสุขภาพพื้นฐานร่างกายแต่ละคน ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้การยืนยันระยะเวลาที่เห็นผลการใช้งานจะเท่ากัน แต่ทุกคนจะได้รับผลการใช้ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉลี่ยจะอยูที่ประมาณ 2-15 วัน)
Q10 : อาการของผู้บริโภคเบต้ากลูในช่วงเริ่มต้นเป็นยังไง?
A10 : ผู้ที่เริ่มบริโภค เบต้ากลูแคน ในช่วงเริ่มต้น บางท่านอาจมีอาการปรับตัวบ้างเช่น มีอาการรุมไข้ มีอาการเหมือนท้องเสีย ถ่ายท้อง มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลียต้องการหลับพักผ่อนมากกว่าปกติ อาการเหมือนท้องผูก อาการคอแห้ง อาการนอนไม่หลับ ซึ่งจากการติดตามผลผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มเป้าหมายกว่า 10,000 คน พบว่า อาการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผลจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือในบางรายพบว่าเป็นการปรับตัวของระบบพื้นฐาน เช่น ระบบการไหลเวียนโลหิต (กรณีผู้บริโภคเป็นผู้หญิงประจำเดือนจะมาตรงปกติและมีสีที่ดีขึ้น) ระบบฮอร์โมน ระบบการผลิตเม็ดเลือด เป็นต้น ดังนั้นผู้บริโภคมิควรตกใจหรือหยุดบริโภค หากแต่ควรดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้น)
Q11 : ความบริสุทธิ์ของเบต้ากลูแคนมีความสำคัญเพียงใด?
A11 : ความแตกต่างในความบริสุทธ์ของเบต้ากลูแคนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ มีผลอย่างเป็นนัยสำคัญต่อสุขภาพที่ติดตามมา งานวิจัยจำนวนมากแสดงผลว่า ส่วนประกอบของเซลล์ยีสต์ที่เรียกว่า “mannan” ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือความผิดปกติโดยเกิดการอักเสบของลำไส้ ในบางคนที่มีการแพ้ยีสต์ โรคดังกล่าวเรียกว่า Inflammatory Bowel Disease หรือ Crohn’s Disease ดังนั้นในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เบต้ากลูแคนนั้น อย่าคำนึงถึงแค่ราคา ควรคำนึงถึงคุณภาพของเบต้ากลูแคนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ )
Q13 : เบต้ากลูแคนจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สูงเกินไป ได้หรือไม่?
A13 : มีผลิตภัณฑ์บางอย่างที่สามารถเสริมภูมิคุ้มกันให้สูงเกินได้แต่ เบต้ากลูแคน ไม่จัดอยู่ในผลิตภัณฑ์ประเภทนั้น เนื่องจากเบต้ากลูแคนใช้หลักการของภูมิคุ้มกันในร่างกายตนเองรักษาตนเองกล่าวคือ จะไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงเกินกว่าความสามารถของภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้จากธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ในกรณีที่ต้องใช้ในปริมาณมากๆ
Q14 : เบต้ากลูแคนมีผลข้างเคียงหรือไม่ และควรรับประทานร่วมกับยาชนิดอื่นหรือไม่?
A14 : เบต้ากลูแคน (1,3/1,6 กลูแคน) เป็นสารสกัดจากยีสต์ขนมปัง และทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจัดให้เป็นผลิตภัณฑ์ระดับ G.R.A.S rating (Generally Regard As Safe) คือ ไม่มีปรากฏผลข้างเคียงต่อการบริโภค หรือ ไม่มีปฏิกิริยาเลวร้าย นอกจากนี้ยังไม่พบว่ามีผลกระทบเมื่อบริโภคร่วมกับยาหรือพืชสมุนไพรอื่นๆ ความจริงแล้วเบต้ากลูแคนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ ดังนั้นมิควรหยุดยาแพทย์ใดๆทั้งสิ้น เพราะยาของแพทย์จะช่วยทำการยับยั้งอาการบางชนิดที่อาจมีผลต่อร่างกาย เช่น อาการเจ็บปวดต่าง ซึ่งเมื่อมีการใช้เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน อย่างต่อเนื่อง แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาสุขภาพของท่านจะเป็นผู้พิจารณาการหยุดยาของแพทย์เอง
Q16 : ทำไมข้างบรรจุภัณฑ์จึงห้ามเด็ก และสตรีมีครรภ์รับประทาน?
A16 : เนื่องด้วยจริยธรรมและจรรยาบรรณทางการแพทย์ ห้ามให้มีการทดลองตัวยาบางชนิดและอาหารเสริมสมุนไพร เครื่องดื่มบางชนิดที่มีผลต่อสุขภาพทั้งด้านบวกและด้านลบกับกลุ่มเด็กและสตรีมีครรภ์ ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดข้อบังคับให้มีการติดข้างบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทุกชนิด
Q17 : ทำไมบางครั้งรับประทานแล้วจึงเกิดอาการเหมือนท้องเสียหรือถ่ายท้อง?
A17 : อาการดังกล่าวอาจเหมือนท้องเสียหรือถ่ายท้อง แต่ในความเป็นจริงมิได้เกิดจากท้องเสีย เพียงแต่เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเป็นเส้นใยอาหารจึงช่วยให้อุจจาระนิ่มขึ้น และเป็นตัวช่วยในกระบวนการขับล้าง ของเสียที่ตกค้างทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ แต่จะไม่ใช่อาการท้องเสียที่ขับถ่ายในลักษณะเป็นของเหลวและขับถ่ายไม่หยุด
Q18 : ทำไมบางครั้งรับประทานแล้วเกิดความรู้สึกเหมือนขับถ่ายยาก อุจจาระแข็ง?
A18 : ตามเหตุข้างต้นเส้นใยของเบต้ากลูแคน เริ่มกระบวนการจับตัวกับกากของเสียที่ตกค้างในระบบย่อยและขับถ่าย ซึ่งต้องการน้ำเพื่อให้ขับออกจากร่างกาย เหมือนทานไฟเบอร์หรือกากใยอาหารทั่วไป แต่ผู้ที่มีอาการดังกล่าวส่วนใหญ่พบว่า บริโภคน้ำน้อยเกินไป จึงควรบริโภคน้ำให้มากขึ้น โดยให้ดื่มครั้งละน้อยๆ แต่ให้ดื่มบ่อย และให้สังเกตุจากปัสสาวะตนเอง หากปัสสาวะยังมีสีเหลืองอ่อนจนถึง สีเหลืองเข้ม เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าปริมาณน้ำได้รับน้อยจนเกินไป ปัสสาวะที่เหมาะสมควรใสไม่มีสี
Q19 : ทำไมบางครั้งรับประทานแล้วรู้สึกเหมือนมีไข้อ่อน?
A19 : เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน มีผลกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้ใช้เชื้อโรคไปกระตุ้นการทำงานเหมือนในการฉีดวัคซีน (ส่วนใหญ่จะใช้เชื้อโรคที่อ่อนแอ หรือ ตายแล้ว) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจทำให้คนที่ได้รับวัคซีนอาจมีอาการรุ่มไข้อ่อนๆ ถึงปานกลางได้ ดังนั้นการใช้สารเบต้ากลูแคนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันจึงไม่น่าที่จะก่อให้เกิดอาการดังกล่าวได้
Q20 : ทำไมสรรพคุณของ เบต้ากลูแคนเหมือนยาครอบจักรวาลรักษาได้ทุกโรค?
A20 : เป็นคำถามที่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก เบต้ากลูแคน มิใช่ยารักษาโรค และไม่มีฤทธิ์ทางยาทั้งสิ้น หากแต่มีความสามารถพิเศษคือเป็นเอนไซม์หรืออาหารชั้นเลิสให้กับเม็ดเลือดขาว (ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย) และทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากระบบภูมิคุ้มกันมีความแข็งแรงอย่างแท้จริง ร่างกายจะสามารถป้องกันผู้รุกรานจากภายนอกเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ปรสิต หรือแม้แต่เซลล์ของร่างกายที่ผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ คณะวิจัย IMMUNE LAB® มีความเชื่อที่ว่าสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในการดูแลรักษาสุขภาพมนุษย์คือร่างกายมนุษย์เอง
Q22 : เราสามารถได้รับเบต้ากลูแคนโดยการกินขนมปัง หรือยีสต์ชนิดเม็ดได้หรือเปล่า?
A22 : เบต้ากลูแคนสกัดมาจากผนังเซลล์ของยีสต์ขนมปัง และอยู่ในรูปแบบที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์เราสามารถนำไปใช้ได้ในทันที แต่ในขณะที่อยู่ในรูปของยีสต์ขนมปังจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของผนังเซลล์ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย และร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยผนังเซลล์เพื่อให้ได้รับสารเบต้ากลูแคนได้ จึงทำให้การทานขนมปัง หรือ ยีสต์ขนมปัง จึงทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารเบต้ากลูแคน
Q23 : คนที่แพ้ยีสต์จะรับประทานเบต้ากลูแคนได้หรือเปล่า?
A23 : คนที่แพ้ยีสต์นั้นความจริงแล้วคือแพ้โปรตีนในยีสต์ที่เรียกว่า แมนโนโปรตีน ถ้าผลิตภัณฑ์ที่มาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตราฐานก็อาจจะมีสารเจือปนประเภทโปรตีนนี้ตกค้างเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้บริโภคควรต้องระวังเรื่องความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก
เบต้ากลูแคนคุณภาพสูงของ IMMUNE LAB® ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตราฐานและยังได้ตรวจสอบการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์จากทางหน่วยงานที่ได้มาตราฐานสากล จนมั่นใจว่าไม่มีสารเจือปนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ดังนั้นคนที่แพ้ยีสต์สามารถรับประทานได้
Q24 : เมื่อรับประทานเบต้ากลูแคนและร่างกายดีขึ้นแล้ว สามารถหยุดรับประทานได้หรือไม่?
A24 : ได้ เมื่อท่านรู้สึกว่าร่างกายของท่านดีขึ้นแล้ว มิได้เป็นโรคใดๆ และไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคต่างๆ อีกแล้ว ท่านสามารถหยุดรับประทานได้ แต่เพื่อความมั่นใจควรรับประทาน IMMUNE LAB® เบต้ากลูแคนอย่างน้อย วันละ 1 แคปซูล